โดย วิไล อักขระสมชีพ
และถ้า ไม่ได้เป็นเพราะวัฒนธรรมขององค์กร ที่ผูกติดอยู่กับ "การท้าทายตัวเอง" "ฮอนด้า" คงไม่ได้ก้าวพ้นการคิดแต่เพียงการเป็นเจ้าแห่งความเร็ว การเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี มาสู่วิสัยทัศน์ของ "ฮอนด้า" ในวันนี้ ในการเป็นองค์กรที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่ เพราะเชื่อว่าการที่องค์กรจะก้าวเดินไปสู่ความยิ่งใหญ่ในอนาคตต้องได้รับการ ยอมรับจากสังคม
แม้ "อดิศักดิ์ โรหิตศุน" รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด จะบอกไว้ว่า "การดำรงอยู่ที่สำคัญคือเราต้องไม่ทำให้ตัวเองเป็นภาระของสังคม โดยการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า การคิดค้นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ"
ซึ่งถือเป็นแก่นของแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR)
เริ่มต้นด้วยการท้าทายตัวเอง
แต่ ความน่าสนใจอีกส่วนหนึ่งของ "ฮอนด้า" ยังอยู่ที่ความสามารถในการ เชื่อมโยง วัฒนธรรม "การท้าทายตัวเอง" ให้เข้ากับ เป้าหมาย "การเป็นองค์กรที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่" ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัย 3 ประการ 1.การสร้างมูลค่าเพิ่มจากกิจกรรมสินค้าบริการให้กับสังคมทั้งที่เป็นลูกค้า และไม่ได้เป็นลูกค้า 2.รับรู้ถึงความแตกต่างในสังคมและพยายามแบ่งปันส่วนที่ดีของฮอนด้า นำไปร่วมกับสิ่งที่มีอยู่ในสังคมนั้น 3.สิ่งที่ทำต้องเป็นการแบ่งปันความสุขไปถึงคนรุ่นหลัง
ในการทำงานของโครงการ "ฮอนด้า อาซิโม ซูเปอร์ ไอเดีย คอนเทสต์" การจัดประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ทาง วิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษา
ที่ หากดูเผินๆ ก็อาจเป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดำเนินกิจกรรมเดินอยู่บนความเชื่อและความท้าทายที่ฝังอยู่ในองค์กร
ด้วย การนำ "อาซิโม" หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่ก้าวหน้ามากที่สุดในโลก ที่เวอร์ชั่นล่าสุดสามารถปฏิบัติตามคำสั่งมนุษย์ด้วยการเสิร์ฟกาแฟ ส่งเอกสาร เตะฟุตบอล ฯลฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในการพัฒนาที่เกิดจากการท้าทาย ตัวเองของฮอนด้า มาแบ่งปันสู่สังคมในการเป็นทูตแห่งความฝันที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ในระดับประถมศึกษา ผ่านโครงการ "ฮอนด้า อาซิโม ซูเปอร์ ไอเดีย คอนเทสต์"
เยี่ยมบ้านอาซิโม
ระหว่าง การนำคณะสื่อมวลชนและผู้ได้รับรางวัลจากโครงการ "ฮอนด้า อาซิโม ซูเปอร์ ไอเดีย คอนเทสต์ ปีที่ 4" ไปเยือนบ้านเกิดอาซิโม ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อไม่นานมานี้ "อดิศักดิ์" เล่าวิธีคิดเบื้องหลังโครงการให้ฟังว่า "โครงการนี้จัดขึ้นทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2548 ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม CSR ของฮอนด้า ที่เปลี่ยนมุมมองของเด็กเยาวชนให้เห็นว่า เรื่องวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถมนุษย์ไปได้ โดยโครงการนี้จะดึงครูและเยาวชนจากโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่สนใจเข้ามา อบรม ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมครูและพ่อแม่ ผู้ปกครอง ช่วยดึงจินตนาการของเด็กๆ ที่มีอยู่สร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่ประยุกต์เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยสิ่งประดิษฐ์ที่ส่งมาจะต้องสามารถเคลื่อนไหวและมีประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิต เพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ ในอนาคตด้วย"
"โครงการนี้ เริ่มจากเด็กไทยไม่ค่อยสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่พอฮอนด้านำ อาซิโมมาโชว์ที่เมืองไทย ทำให้เด็กๆ สนใจกันมากขึ้น และจุดประกายให้เด็กๆ รู้ว่า วิทยาศาสตร์ที่ว่าเป็นของยาก แต่ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ไปได้ อาซิโมจะดึงจินตนาการและความสามารถที่ซ่อนเร้นของเด็กๆ ออกมา และกล้าคิดกล้าแสดงออก"
และถ้าจะวัดความก้าวหน้าของโครงการ ในการจัดประกวดครั้งล่าสุด ได้รับความสนใจจากโรงเรียนและนักเรียนมากขึ้นกว่า 60% จาก 10,000 กว่าคนในปีแรก มาเป็น 50,000 กว่าคนในปี 2551 โดยเปิดวงกว้างออกไปสู่โรงเรียนในต่างจังหวัดมากขึ้น
ในเชิงคุณภาพ ผลงานสิ่งประดิษฐ์ของเด็กๆ ที่ส่งเข้าประกวดนั้นมีคุณค่าและจินตนาการเกินกว่าจะเชื่อว่านี่เป็นเพียง ผลงานของเด็กชั้นประถม อาทิ ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประถมศึกษาปีที่ 1-3 "เรือดำน้ำขนส่งมวลชน" ของ ด.ช. รัชตะ ชาตบุตร (ภีม) ที่มีแรงบันดาลใจจากรถติดและเกิดอุบัติเหตุบ่อย ราคาน้ำมันแพง จึงเสนอเรือดำน้ำเป็นทางเลือกของประชาชนผ่านเส้นทางคลองต่างๆ โดยใช้พลังงาน ชีวมวลที่เรียกว่า "ไบโอแมส" ที่สามารถบำบัดน้ำเสียให้สะอาดไปด้วย
หรือผลงาน "บ้าน UFO ป้องกันภัยธรรมชาติ" ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของ ด.ช.จิรัฏฐ์ บุญจูง (เจมส์) ที่เกิดจากแรงบันดาลใจจากเห็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อย ทั้งสึนามิ พายุนาร์กีส น้ำท่วม ฯลฯ จึงคิดค้นบ้าน UFO ที่มีหลังคาเป็นระบบไฮดรอลิกสามารถหุบตัวอัตโนมัติ เมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้น
จาก "โลคอล" ถึง "โกลบอล"
ใน การเดินทางครั้งนี้ เด็กๆ ได้มีโอกาสเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ฮอนด้า มอเตอร์ โดยมี มร.โทชิยา โคบายาชิ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ ให้การต้อนรับ และให้สัมภาษณ์ยืนยันถึงการเดินหน้าสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคมว่า ยิ่งเศรษฐกิจถดถอยเวลานี้กระทบต่อภาคธุรกิจ แต่ฮอนด้าก็ไม่หยุดยั้งการทำ CSR กลับยิ่งเห็นความจำเป็นที่จะรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
เขา กล่าวด้วยว่า กลยุทธ์ CSR ของ "ฮอนด้า" จะคำนึงถึง 3 ส่วน คือ 1.เอาใจใส่สิ่งแวดล้อม 2.การดูแลองค์กรให้มีสถานะด้านการเงินที่ดี เพราะเป็นบริษัทมหาชน หากมีฐานะการเงินดีจะทำให้มี ผู้สนใจมาลงทุน จึงต้องคำนึงถึงทั้งผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนสังคม 3.การดูแลสังคม ไม่ใช่เพียงเอาเงินไปช่วยเท่านั้น แต่ต้องหมายถึงการ
ทรีตสังคมอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย หรือผู้หญิง ผู้ชาย จะต้องเคารพความเป็นมนุษย์
ขณะ ที่ "อดิศักดิ์" กล่าวเสริมว่า "สิ่งที่เราจะต้องรับผิดชอบหรือรักษาให้ได้ คือ ต้องคิดถึงเด็กหรือคนรุ่นหลัง สิ่งที่ฮอนด้าทำจะต้องไม่กระทบต่อเด็กหรือเยาวชนที่จะเติบโตในอนาคต รวมไปถึงต้องทำให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีอนาคตสดใสด้วย ฮอนด้าจึงใช้เครือข่ายทั่วโลกทำโครงการ "อาซิโม สไมล์ คอนเทสต์" ขึ้น สนับสนุนให้เด็กๆ มีเวทีคิดค้นหุ่นยนต์ หรืออย่างการส่งเสริมโรงเรียนให้มีความรู้ ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำได้และทำต่อเนื่อง แม้บางอย่างช่วยธุรกิจดีหรือไม่ดี ก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เสมอต้นเสมอปลายได้ แม้ฮอนด้าจะมีเครือข่ายเยอะ กิจกรรมแต่ละประเทศจะต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือมีทิศทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะเป้าหมายสร้างอนาคตเยาวชนซึ่งเป็นรากฐานของสังคมให้สดใส"
เพราะเมื่อสังคมดำรงอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง ย่อมหมายถึงการดำรงอยู่ของ "ฮอนด้า" เช่นเดียวกัน !!
ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 26/1/2552
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02csr01260152&day=2009-01-26§ionid=0221
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น