แม้ ว่าที่ผ่านมา บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มครบวงจร ค่ายยักษ์น้ำดำ "เป๊ปซี่" อาจจะไม่โดดเด่นเทียบเท่าคู่แข่งในการเข็นกิจกรรมเพื่อสังคมและในด้าน กลยุทธ์ CSR หากแต่บทพิสูจน์จากการที่โรงงานปทุมธานี บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดของบริษัท ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 35 โรงงานจากจำนวน 200 แห่ง ให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยาดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรมใน โครงการ "รักแม่ รักษ์แม่น้ำ" ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชเสาวนีย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำเจ้าพระยา
อาจจะเรียกได้ว่า เป็นทั้งบทพิสูจน์ ของการพยายามพัฒนาความรับผิดชอบภายในกระบวนการธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
และยังเป็นก้าวสำคัญไปสู่การวางกลยุทธ์และการขับเคลื่อนความรับผิดชอบภายในองค์กร ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในอนาคต
" รางวัลที่ได้ถือเป็นพันธสัญญาที่เราจะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่มาของโครงการ "Serm Suk Green Dimention" ที่เป็นโครงการจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มบริหารจัดการ สิ่งแวดล้อมในทุกๆ โรงงานของเสริมสุข ที่ปัจจุบันมี 5 แห่งได้แก่ ปทุมธานี นครราชสีมา และนครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี และชลบุรี "ฐิติวุฒิ์ บุลสุข" ผู้จัดการทั่วไป โรงงานปทุมธานี บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าว
ถ้ามองเพียง ประเด็น "สิ่งแวดล้อม" เพียงผิวเผิน อาจจะดูธรรมดา แต่ความ น่าสนใจของโครงการนี้กลับอยู่ที่เป้าหมาย ที่ชัดเจนที่ได้วางไว้ทั้ง 5 มิติ ได้แก่ น้ำ บรรจุภัณท์ พลังงาน สภาพแวดล้อม และคน
การปรับ ขบวนทัพ CSR ในองค์กรครั้งนี้ "ฐิติวุฒิ์" บอกว่า "แม้เรามาทั้งเริ่มทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมายาวนานและไม่ใช่แค่ทำ ตามมาตรฐานแต่พยายามทำให้ดีที่สุด ในโครงการนี้จึงพยายามเจาะลึกใน แต่ละด้านมากขึ้น รวมทั้งทำให้เป็นรูปธรรมวัดผลได้ ด้วยเป้าหมายการเป็นองค์กรต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม"
หากดูในรายละเอียดของแต่ละมิติจะเห็นภาพที่ว่าชัดขึ้น
มิติ แรกในด้านแรกการจัดการ "น้ำ" ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มที่ "น้ำ" เป็นทรัพยากรที่ใช้มากที่สุด ที่ผ่านมามีการลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำในโรงงานทั้ง 5 แห่ง กว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ที่สุดเพื่อลดการใช้ทรัพยากรน้ำจากธรรมชาติ
"ที่ผ่านมาเราสามารถลด การใช้ทรัพยากรน้ำไปได้ถึง 180 ล้านลิตรต่อปี หรือประมาณ 10% และจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะลดปริมาณการใช้น้ำให้ได้ถึง 20% ภายใน 3 ปีจากนี้ นอกจากนี้ด้วยระบบบำบัดแบบชีวภาพไม่ใช้ออกซิเจนและแบบใช้ออกซิเจน ทำให้คุณภาพน้ำที่ปล่อยคืนสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีความสะอาดกว่ามาตรฐานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนดไว้ถึง 5 เท่า และสะอาดกว่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากครัวเรือนมากกว่า 50 เท่า และติดตามคุณภาพน้ำทิ้ง 24 ชั่วโมง" ฐิติวุฒิ์กล่าว
มิติที่ 2 ด้านบรรจุภัณฑ์ มีเป้าหมาย ในการลดการสิ้นเปลืองพลังงานให้มากที่สุด โดยใช้หลัก 3 R 1) ลดการใช้วัตถุดิบ (reduce) ด้วยการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อลดการใช้วัตถุดิบ เช่น การคิดค้นขวดพีอีทีให้มีน้ำหนักลดลง หรือใช้พลาสติกเท่าที่จำเป็น ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ปีละกว่า 1,000 ตัน พร้อมทั้งมีแผนที่จะดำเนินโครงการลดปริมาณกระดาษที่นำมาใช้เป็นถาดบรรจุ ภัณฑ์เท่าที่จำเป็นเพื่อลดการใช้ทรัพยากรป่าไม้อีกด้วย 2) นำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำ (reuse) ด้วยการผลักดันการใช้บรรจุภัณฑ์ขวดแก้วแบบคืนขวด และ 3) การคัดแยกวัสดุ ที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อส่งไปยังโรงงาน recycle เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
มิติ ที่ 3 ด้านพลังงาน บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานอย่างเต็มคุณค่า โดยมีการนำก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากระบบบำบัดน้ำเสียมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ในกระบวนการผลิต ทดแทนน้ำมันเตา ซึ่งสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเตาได้ถึง 100,000 ลิตรต่อปี พร้อมทั้งริเริ่ม การขนส่งสินค้าทางน้ำจากโรงงานผลิต ไปยังคลังสินค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เรือลากจูงมาลากจูงเรือบรรทุกสินค้า ซึ่งการลากจูงสินค้าทางเรือ 1 เที่ยว เทียบเท่ากับการใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ขนส่งสินค้าได้ถึง 20 เที่ยวทำให้ลดปริมาณการใช้น้ำมันได้ถึง 240,000 ลิตรต่อปี และยังช่วยลดปัญหาการจราจรบนท้องถนน และยังมีการสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น การใช้ก๊าซ NGV, LPG หรือน้ำมันดีเซล B5 มาใช้ในหน่วยรถทุกประเภทของบริษัท
นอกจากนี้ยัง พยายามสร้างสภาพแวดล้อมสีเขียวให้เกิดขึ้นภายในโรงงาน ซึ่งถือเป็นมิติที่ 4 และมิติสุดท้าย "คน" ซึ่งถือเป็น "หัวใจ" ขององค์กร
"เราเชื่อว่า การที่จะนำพาบริษัทไปสู่ การเป็นต้นแบบในการดูแลสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยคน ที่มีใจรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นพลังขับเคลื่อน "ฐิติวุฒิ์กล่าว
นอกจากนี้ยังบริษัทยังมุ่งไปที่การ ขยายผลสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นกับโรงงานด้วยกันด้วยการเข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษาในการจัดตั้ง ระบบน้ำเสียให้กับโรงงานกว่า 40 แห่ง ล่าสุด ยังพยายามปลูกฝังเรื่องนี้กับเยาวชนโดยดำเนินโครงการ "คนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว" ซึ่งดำเนินการ ผ่านมูลนิธิทรง บุลสุข และกระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ให้เยาวชน ร่วมประกวดไอเดียด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
และนี่เป็นอีกตัวอย่าง ของการขยาย ผลความรับผิดชอบจากภายในองค์กร สู่ภายนอก ที่ชัดเจนโดยเฉพาะภายในกระบวนการผลิต แม้ยังไม่เห็นแนวปฏิบัติความรับผิดชอบของกระบวนการดำเนินธุรกิจในด้านอื่นๆ อาทิการทำตลาดผู้บริโภค ฯลฯ แต่หากสามารถทำได้จริงตามเป้าหมายในแต่ละด้านที่วางไว้ ก็น่าจะเพียงพอที่สามารถตอบโจทย์ 3 ขาของการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจที่ช่วย ในแง่ของการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรวมไปถึงลดการสร้างผลกระทบ เชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ในระดับที่ยั่งยืนกว่าการทำกิจกรรมเพียงฉาบ ฉวย !!
ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02csr04201051&day=2008-10-20§ionid=0221
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น