วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ความรับผิดชอบต่อสังคมของคนไทย



โดย ดร.อัศวิน จินตกานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโสกลุ่มบริษัททีม

ความ รับผิดชอบต่อสังคมใช่ว่าจะเป็นหน้าที่ขององค์การธุรกิจขนาดใหญ่หรือของ รัฐบาลเท่านั้น ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนทุกคนก็มีหน้าที่ต่อสังคมทั้งสิ้น หน้าที่ของทุกหน่วยงานและทุกๆ คนคือ การช่วยกันสร้างสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข ช่วยกันสร้างสังคมที่ก้าวหน้า อย่างน้อยที่สุดเราไม่ควรทำให้โลกเราแย่ลงกว่าวันที่เราเข้ามาอยู่ในโลกใบ นี้

พิธีการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีของนายบารัก โอบามา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 ผมและคนทั่วโลกต่างดูพิธีการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกาของนายบารัก โอบามา คนเป็นจำนวนมากที่อยู่ในพิธีไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ต่างก็มีน้ำตาคลอเบ้า และบางคนก็ร้องไห้ออกมาที่มีประธานาธิบดีที่ไม่ใช่คนผิวขาวเป็นคนแรก ซึ่งทำให้คนผิวดำในสหรัฐอเมริกาที่ถูกเหยียดหยามมาเป็นร้อยปีอดกลั้นน้ำตา ไม่ไหว ทุกๆ คนในสหรัฐอเมริกาต่างก็รอคอยวันที่คนผิวดำอเมริกันจะมีความเสมอภาค และมีความอิสระจากการที่เคยเป็นทาสมาหลายร้อยปี และวันนั้นก็มาถึง

ประธานาธิบดี โอบามา สัญญาที่จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาการตกงานของชาวอเมริกัน ปัญหาที่ธุรกิจการเงินและอุตสาหกรรมรถยนต์ล้มละลาย แต่ทุกคนจะต้องมีความอดทนเพราะต้องใช้เวลาก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นคืนสภาพเดิม นายโอบามากล่าวในสุนทรพจน์ของเขาในวันสำคัญนี้ว่า "ต่อไปนี้เป็นยุคของความร่วมมือ เป็นยุคที่ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ เราทุกคนมีหน้าที่ต่อตนเอง ต่อชาติอันเป็นที่รักของเรา ต่อโลกของเรา เราทุกคนจะต้องรับความรับผิดชอบด้วยความเต็มใจ นั่นคือสัญญาและหน้าที่ของประชาชนทุกคนในการเป็นประชาชนของแต่ละชาติ"

สุนทรพจน์ ของโอบามาช่วงนี้ฟังแล้วมีความคล้ายคลึงกับสุนทรพจน์ของนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ที่พูดไว้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2505 ในวันสาบานตน เป็นประธานาธิบดีเมื่อ 47 ปีมาแล้วว่า "จงอย่าถามว่าประเทศของท่านจะทำอะไรให้แก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ชาติของท่าน" "ฝัง" ความเจ็บปวดในอดีตลืมมันเสียและหันหน้าเข้าหากัน

นายโอบามาพูดถึง ความจำเป็นที่จะต้อง "ฝัง" ความเจ็บปวดในอดีต ลืมมันเสียและหันหน้าเข้าหากันในการที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เร่งรัดใน ปัจจุบันที่ด่วนกว่าและสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ท่านขอความร่วมมือจากทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครต

ในสุนทรพจน์ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตอนรับทานอาหารกลางวันในวันนั้น นายโอบามาว่า "เราจะทำงานร่วมกันด้วยความมีมิตรภาพและความรีบเร่งเพราะบ้านเมืองเรากำลัง มีปัญหาที่รุมเร้าและใหญ่หลวง เราอาจจะไม่เห็นตรงกันในทุกๆ เรื่อง แต่เราจะทำงานร่วมกัน ผมแน่ใจว่ารัฐบาลจะทำอะไรผิดพลาดบ้างแต่เราจะไม่ทำอะไรผิดโดยเจตนา และเราจะไม่ให้เกิดเรื่องคอร์รัปชั่นในรัฐบาลนี้"

ที่น่าสรรเสริญ ชาวอเมริกัน คือ ระหว่างการหาเสียงที่จะเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครต นางฮิลลารี คลินตัน และนายโอบามา ต่อสู้กันอย่างดุเดือดถึงขนาดนำเรื่องส่วนตัวมาต่อว่าต่อขานกัน แต่เขาก็ลืมความเจ็บปวดนี้และยอมทำงานร่วมกันโดย นางฮิลลารี คลินตัน ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่สำคัญอย่างมาก (น่าสนใจมากว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด 2 คนที่ผ่านมาเป็นสุภาพสตรี คือ นางแมนดาลีน ออลไบรต์ นางคอนโดเรสซ่า ไรส์)

แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ใน สถานที่นั้นแต่ผมก็พลอยตื้นตันไปกับเขาด้วย เพราะเข้าใจปัญหาอย่างดี บ้านเมืองเรากำลังประสบปัญหาเดียวกันทั้งโลก ทั้งด้านเศษรฐกิจ คนตกงาน ธุรกิจที่กำลังล้มละลาย คนรากหญ้าได้รับความเดือดร้อน ผู้คน ติดหนี้ติดสิน คนชราที่กินบำนาญรายได้หดไปเพราะดอกเบี้ยที่ถูกกดลงเพื่อให้ธุรกิจและธนาคาร อยู่รอด กลุ่มคนแต่ละกลุ่มเรียกร้องขอสิทธิพิเศษเพื่อกลุ่มของตนโดยไม่สนใจว่ากลุ่ม อื่นจะมีปัญหาเหมือนกัน

Social Responsibility ของคนไทย

ขณะ นี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ และอาจมีปัญหามากกว่าประเทศอื่นเพราะข้าราชการไทยในทุกๆ ระดับยังซ้ำเติมประเทศชาติด้วยการคอร์รัปชั่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเสมือนว่าประเทศของเรามีทรัพยากรที่จะผลาญได้อย่างเหลือเฟือ คนที่เคยโกงชาติก็ไม่สำนึกผิดและคิดว่าตนถูกกลั่นแกล้ง นอกจากนี้ยังพยายามสร้างสถานการณ์และยุแหย่ให้คนแตกกันเพื่อผลประโยชน์ของตน นักวิชาการแต่ละท่านก็พยายามแสดงความสามารถของตนออกมาในด้านการติ (ทำตนเป็นคนขับรถจาก

เบาะหลัง คือไม่ได้ขับแต่สั่งให้ขับจากข้างหลังที่ฝรั่งเรียกว่า back seat driver) และท่านที่เคยมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาก็ไม่สามารถแก้อะไรได้ หน้าที่ของประชาชนที่ดีคือควรให้กำลังใจ มีความอดทนและเสนอแนะทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าการติที่ไม่ เข้าท่า

social responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคมของคนไทยทุกๆ คน คนไทยต้องออกมาร่วมมือกัน มีส่วนร่วมที่จะแก้ปัญหา ถ้ามือไม่พายก็อย่าเอาเท้ามาราน้ำ บ้านเมืองเราบอบช้ำมามากแล้ว เราจงมาช่วยกันสร้างความสามัคคีในชาติ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยกันสร้างความมั่นใจที่จะให้ชาวต่างชาติมาเที่ยวเมือง ไทย มาชื่นชมในวัฒนธรรมไทยที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย

ม.ร.ว.ถนัด ศรี สวัสดิวัตน์ ท่านเคยพูดในรายการวิทยุของท่านนานมาแล้วว่า "ชาวต่างชาติหลงรักคนไทยที่มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มที่ยิ้มมาจากข้างใน ท่านบอกว่าคนไทยยิ้มด้วยตา การแสดงน้ำใจต่อกันและกัน ช่วยเหลือกันที่ทำให้ชาวต่างชาติชมว่าคนไทยเป็นคนที่แสดงความเป็นมิตรต่อ ทุกๆ คน ความประพฤติเช่นนี้ที่เคยทำให้คนต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทย อยากมาอยู่เมืองไทยหายไปไหน" เรามาเริ่มกันใหม่นะครับ เรามามีความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) เถิดครับ เรามาประพฤติตัวอย่างดี ช่วยกันแก้ปัญหาของกลุ่มคนเล็กๆ รอบตัวเรา และกลุ่มเล็กๆ ของเราไปช่วยแก้ไขปัญหาของคนกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากกลุ่มเรา เราจงเริ่มที่ตัวเรา เราจงช่วยกันแก้ปัญหาเถิดครับ และบ้านเราก็จะน่าอยู่เหมือนเดิม


ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02csr03090252&day=2009-02-09&sectionid=0221


ไม่มีความคิดเห็น: