สิ่งที่โดดเด่นของบริษัทพลังงาน ยักษ์ใหญ่รายนี้อยู่ที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศในระดับที่ต่ำ การลงทุนในพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทน รวมไปถึงการยอมรับในความหลากหลายที่แตกต่างกันของคน ทั้งในเรื่องของเชื้อชาติ เพศ ความคิดเห็นที่แตกต่าง ฯลฯ
ในไทยจะว่า ไปแล้ว ภาพของ "เชฟรอน" ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ระดับกิจกรรมเพื่อสังคมปรากฏให้เห็นผ่านสื่อและภาพยนตร์โฆษณามา อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 เริ่มตั้งแต่โครงการ "เชฟรอนรวมใจไทยเพื่อพระดาบส" ซึ่งในปีนั้นรวมเงินที่บริษัทจ่ายและเงินสมทบจากการบริจาคของประชาชนทั่วไป ให้กับมูลนิธิเพื่อช่วยให้นักเรียนด้อยโอกาสได้ฝึกอาชีพได้มากถึง 56.7 ล้านบาท
ปี 2550 โครงการ "เชฟรอนรวมพลังสร้างโรงเรียนถวายพ่อ" โดยบริจาคเงินและระดมทุนให้กับมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม นำไปใช้ในการติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณในโรงเรียนห่างไกลหรือขาดแคลนครู ด้วยยอดบริจาคสูงถึง 60.5 ล้านบาท ก่อนที่ในปี 2551 จะทำโครงการ "โรงเรียนเครือข่ายเชฟรอน พลังใจ พลังคน" ที่ยังทำต่อเนื่องมาจนถึง ปีนี้
ทั้ง การทำกิจกรรมและการสื่อสาร CSR อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาย่อมมีเหตุผลและเป็นเหตุผลที่มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับการ เป็นผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของ "บิ๊กเนม" ด้านพลังงานรายนี้ !!
ก่อน วันเปิดตัวโครงการเพื่อสังคมล่าสุดของปี 2552 "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสคุยกับ "ธารา ธีรธนากร" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
เขาบอกว่า "ส่วนหนึ่งเราอยากให้คนรู้จักเราและรู้สึกว่าเราเป็นบริษัทที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นภูมิคุ้มกันของบริษัท ซึ่งจากผลของการทำงานและสื่อสารตั้งแต่ปี 2549 จนปัจจุบันเราพบว่าคนรู้จักและมีความรู้สึกดีกับบริษัทเพิ่มขึ้น จากที่เคยต่ำกว่า 50% ตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 80% ที่เรามองย้อนหลังเพียงเท่านี้ เพราะเป็นการพยายามสร้างให้คนรู้จักเรา หลังจากที่ยูโนแคลควบรวมกิจการกับเชฟรอน เมื่อ 4 ปีก่อน"
"แต่สำหรับ เราการทำ CSR มันไม่ได้ทำแค่กิจกรรมแต่เริ่มที่ตัวเรา ถ้าทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบก็มีส่วนความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้ว ถ้าดูนิยามของ CSR จริงๆ ต้องเริ่มตั้งแต่ธรรมาภิบาล การเริ่มต้นทุกอย่างในการบริหารงาน ที่เชฟรอนมีวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทพลังงานระดับโลกหนึ่งเดียวที่ได้รับ การชื่นชมมากที่สุด ทั้งในด้านบุคลากร การเป็นพันธมิตรและผลการดำเนินงาน"
" การที่เราจะบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของเรา ต้องดูที่วิธีการไปสู่เป้าหมายด้วย ถ้าแม้อะไรไม่ถูกเพราะแม้ว่าจะไปถึง เป้าหมายเราก็จะไม่ทำ"
สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่าน "วิถีของเชฟรอน" ด้วยค่านิยมในเรื่องการซื่อสัตย์ (integrity) ความไว้วางใจ (trust) ความหลากหลาย (diversity) ความคิดสร้างสรรค์ (ingenuity) การเป็นพันธมิตร (partner ship) การปกป้องคุ้มครองคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม (protecting people and environment) และผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูง (high performance)
"ค่านิยมเกิดจากปรัชญาในการทำธุรกิจโดยรวมที่เกิดขึ้น มาจากการสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน ว่าถ้าเราอยู่ไปอีกเป็น 100 ปี เราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในธุรกิจพลังงาน นี่เป็นธุรกิจที่มีวงจรชีวิตยาว กว่าจะเข้ามาสำรวจ ผลิต สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มผลิต เพราะกว่าเราจะมีรายได้จากการลงทุนครั้งแรกบางครั้งเราเข้ามาแล้วเป็น 10 ปี และพอได้สัมปทานเราก็ต้องอยู่ต่อไปอีก 20-30 ปี และการที่มีบริษัททั่วโลก เพราะจากที่หนึ่งก็ขยายไปที่ต่างๆ การมีชื่อเสียงที่ดีสำคัญมากสำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจ ข้ามชาติ เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลไปถึงกันหมด และเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องมองอะไรยาวๆ"
" ที่สำคัญจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็บอกกับเราด้วยว่า ต้นทุนในการลบล้างภาพในการทำไม่ดีมีต้นทุนที่มากกว่าการที่เราสร้างกระบวน การในการทำดี และสุดท้ายก็หนีไม่พ้น ทำไม่ดีก็ต้องไปแก้ไข ถ้าเราทำดีตั้งแต่ต้นก็ไม่ต้องแก้ไข นี่เป็นวิธีคิดในการลงทุนระยะยาวและมีประสิทธิภาพสำหรับการลงทุนในระยะยาว
" การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจึงเป็นประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยงชื่อ เสียง ธุรกิจ และการลงทุนที่ถูกต้อง (good investment) การแสดงความรับผิดชอบในทุกขั้นตอนส่งผลดีที่เกิดขึ้นในภายหลังกว่าการเลือก เดินบนเส้นทางอื่นซึ่งเราเชื่อว่า ไม่ว่าในธุรกิจไหนการแสดงความรับผิดชอบก็สามารถทำได้ในแบบเดียวกัน" ธารากล่าวในที่สุด
ที่อาจจะมีนัยสำคัญที่ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหน หากมองถึงความยั่งยืนในระยะยาวแล้ว CSR คือการลงทุนที่ดีที่สุด !!
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02csr01130452&day=2009-04-13§ionid=0221
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น